ข่าวแจ้งสื่อมวลชน

ข่าวนี้ที่ 1 ส่องงบ Q364 หุ้นค้าปลีก-โรงแรม กำไรทรุด-โรงพยาบาล แจ่ม!


โบรกฯประเมินงบกลุ่มค้าปลีก-โรงแรม Q3/64 ยังอ่อนแอ เหตุได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์เต็มไตรมาส มอง CPALL -HMPRO กำไรลดลงมากสุด ส่วน MAKRO - GLOBAL- DOHOME กำไรยังเติบโตได้ดี ขณะที่กลุ่มโรงแรม Q3/64 แม้ยังมีขาดทุนรวม 4.4 พันลบ. แต่ภาพรวมฟื้นตัวดีขึ้น YoY และ QoQ หลัง MINT ขาดทุนลดลง ด้านกลุ่มโรงพยาบาล คาดกำไรเติบโตโดดเด่น รับอานิสงส์โควิดระบาดหนัก

*** งบ Q3/64 เป็นจุดต่ำสุดหุ้นค้าปลีก หลังเจอล็อกดาวน์ทั้งไตรมาส

นายสุโชติ ถิรวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ เปิดเผยกับ 'สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย' ถึงภาพรวมหุ้นในกลุ่มค้าปลีก (Commerce) ในช่วงไตรมาส 3/64 มองว่าหากแบ่งเป็นรายกลุ่มอย่างกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ซึ่งมี 3 ตัวหลัก มองว่า GLOBAL และ DOHOME ยังมีทิศทางดี ทั้งอัตราการทำกำไร และการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG)

ซึ่งยังเป็นบวก 10% และ 12% ตามลำดับ ส่วน HMPRO มีปิดล็อกดาวน์ในหลายสาขาจากผลกระทบโควิด-19 ด้าน SSSG ในไตรมาสนี้ยังติดลบ -7%

ด้านหุ้นพาณิชย์ในกลุ่มค้าปลีกหลักๆ อย่าง CPALL และ MAKRO มองว่าภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/64 จะเป็นจุดต่ำสุด เนื่องจากความการบริโภคในประเทศยังทรงตัวตามภาวะเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามภาพรวมของหุ้นกลุ่มพาณิชย์ ในช่วงไตรมาส 4/64 คาดว่าจะฟื้นตัวดีขึ้น เพราะมองว่าการบริโภคจะเริ่มกลับมา ซึ่งคาดว่าจะมาพร้อมกับการท่องเที่ยว รวมถึงการซ่อมแซมบ้าน การรีโนเวทต่างๆ เพื่อเตรียมเปิดเมืองอีกครั้ง

*** เคจีไอ ชี้ CPALL หนักสุด คาดกำไรลดลง 33%

บทวิเคราะห์ของบล.เคจีไอ ประเมิน CPALL คาดว่ากําไรสุทธิในไตรมาส 3/64 จะอยู่ที่ 2,700 ล้านบาท (ลดลง 33% เทียบปีก่อน, เพิ่มขึ้น 23% จากไตรมาสก่อนหน้า) เนื่องจากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลงเพราะมีค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจากการกู้ bridge เพื่อมาทําดีล Lotus ประเมินราคาเป้าหมายสิ้นปี 65 ที่ 70 บาท แนะนำซื้อ

หุ้น MAKRO คาดว่ากําไรสุทธิในไตรมาส 3/64 จะอยู่ที่ 1,700 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 9% จากปีก่อน , เพิ่มขึ้น 31% จากไตรมาสก่อนหน้า) โดยประเมินราคาเป้าหมายสิ้นปี 65 ที่ 54 บาท ซึ่งถึงแม้จะให้ premium กับ PER เพื่อสะท้อนถึงแนวโน้มบวกในระยะยาวจากการเข้าซื้อ Lotus's ไปแล้ว แต่ยังมีความเสี่ยงในระยะสั้นจาก dilution อยู่ ดังนั้น จึงแนะนํา ถือ และหุ้น

ขณะที่ GLOBAL ในไตรมาส 3/64 มีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 689 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 51% จากปีก่อน, -29% จากไตรมาสก่อนหน้า) คงราคาเป้าหมายสิ้นปี 65 ที่ 27 บาท และเนื่องจากกําไรไตรมาส 4/64 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน และน่าจะโตต่อเนื่องในปี 565 จึงยังคงคําแนะนําซื้อ

ด้าน DOHOME คาดว่ากําไรสุทธิในไตรมาส 3/64 จะอยู่ที่ 480 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 156% จากปีก่อน , -20% จากไตรมาสก่อนหน้า) คงราคาเป้าหมายสิ้นปี 65 ที่ 34 บาท ส่วนกําไรสุทธิของ HMPRO ในไตรมาส 3/64 คาดอยู่ที่ 1,100 ล้านบาท ( ลดลง 20% จากปีก่อน, -22% จากไตรมาสก่อนหน้า) คงราคาเป้าหมายสิ้นปี 65 ที่ 15 บาท แนะนำซื้อ

*** บล.ดีบีเอส มองค้าปลีกฟื้นตั้งแต่ Q4/64

บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุว่า ภาพรวมหุ้นกลุ่มพาณิชย์(ค้าปลีก) จะกลับมาฟื้นตัวดีในไตรมาส 4/64 โดยมองว่าผลกระทบจำกัดจากภาวะน้ำท่วมหนักในปัจจุบัน แต่เป็นเพียงทางอ้อมในเรื่องกำลังซื้อผู้บริโภคที่อ่อนลงไปช่วงน้ำท่วม แต่ก็ไม่รุนแรงเท่าปี 54 โดยเปรียบเทียบ

อย่างไรก็ตามคาดว่าสิ่งที่ดีคือ ความต้องการสินค้าวัสดุก่อสร้างจะมีมากในไตรมาส4/64 เพื่อซ่อมแซมบ้านเรือนที่เสียหาย และการบำรุงรักษาให้กลับมามีสภาพที่ดีเช่นเดิม หลังภาวะน้ำท่วมได้ผ่านพ้นไป

คงคำแนะนำถ่วงน้ำหนักมาก สำหรับกลุ่มพาณิชย์(Commerce) แต่มองหุ้น Top Pick ของกลุ่มคือ COM7 ซึ่งได้รับประโยชน์จากสินค้า IT และโทรศัพท์มือถือออกรุ่นใหม่ๆที่น่าสนใจ ล่าสุดคือ iPhone 13 และ HMPRO ที่ฟื้นตัวเร็วเมื่อเปิดเมืองและคาดว่าจะขายดี เมือน้ำท่วมผ่านไป นอกจากนี้การกระตุ้นใช้จ่ายบริโภคจากภาครัฐคาดว่าจะมีต่อเนื่องใน 12 เดือนข้างหน้านี้

*** คาด 5 หุ้นโรงแรม ยังขาดทุน 4,400 ลบ. แต่ฟื้นตัวดีทั้ง YoY และ QoQ

นายณภัทร วรจรรยาวงศ์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ เปิดเผยกับ 'สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย' ว่า แนวโน้มผลประกอบการกลุ่มโรงแรม 5 แห่ง ที่อยู่ในฐานข้อมูลของบริษัท ซึ่งประกอบด้วย MINT-SHR-SPA-ERW-CENTEL คาดว่า ผลประกอบการไตรมาส 3/64 จะขาดทุนรวม 4,400 ล้านบาท

โดยหากดูผลประกอบการรวมจะฟื้นตัว 33% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโต 17% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยผลักดันโมเมนตัมจาก MINT-SHR เป็นหลักทำให้งบของทั้งกลุ่มออกมาค่อนข้าง Outperform

โดยตัวที่โดดเด่นในไตรมาส 3/64 คือ MINT ซึ่งคาดว่าจะขาดทุนปกติ 2,700 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ขาดทุน 3,400 ล้านบาท โดยมองผลประกอบการที่ฟื้นตัวขึ้นทั้งช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้า จากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของโรงแรมในยุโรป ส่งผลให้ RevPar รวมโตถึง 75% ของช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 113% ในไตรมาสก่อนหน้า

ขณะที่ธุรกิจร้านอาหารยังคงถูกกดดันจากผลประกอบการร้านอาหารในประเทศ โดย MINT ยังคงเป็นหุ้นเด่นในกลุ่มโรงแรม โดยคาดว่าบริษัทจะฟื้นตัวได้เร็วกว่าหุ้นอื่นในกลุ่มทั้งในระยะสั้น และกลาง โดยยังคงแนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมายที่ 42 บาท

ขณะที่ SHR คาดว่าจะโดดเด่นเช่นกัน โดยคาดว่าจะฟื้นตัวได้จากผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมในอังกฤษและมัลดีฟส์ ส่งผลให้ RevPar รวมเพิ่มขึ้น 225% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 97% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ทำให้ มองว่า ผลประกอบการของ SHR ยังคง Outperform หุ้นอื่นในกลุ่มต่อไปในไตรมาส 4/64 เพราะรายได้จากธุรกิจโรงแรมของบริษัทเกินครึ่งหนึ่งมาจากทางยุโรป และมัลดีฟส์

ทั้งนี้ ยังคงมอง SHR เป็นหุ้น value play และยังคงแนะนำซื้อ ประเมินราคาเป้าหมายที่ 5.20 บาท

*** มอง CENTEL-SPA-ERW ดึงกลุ่ม เหตุพึ่งพาในประเทศเป็นหลัก

บล.เคจีไอ มองว่า หุ้นที่น่าจะออกมาแย่ในกลุ่มโรงแรม ประกอบด้วย CENTEL-SPA-ERW เนื่องจากสัดส่วนรายได้ส่วนใหญ่มาจากในประเทศเป็นหลัก ซึ่งโดยภาพรวมในประเทศในช่วงไตรมาส 3/64 ค่อนข้างอ่อนแอ และถือเป็นจุดต่ำสุด เนื่องจากมีมาตรการควบคุมเข้มงวดของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

โดย CENTEL คาดว่ารายได้รวมในไตรมาส 3/64 จะปรับลดลง 14% จากไตรมาสก่อน เหลือ 2,200 ล้านบาท โดยปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของโรงแรมในมัลดีฟส์ จะถูกหักล้างโดยผลการดำเนินงานของธุรกิจร้านอาหารที่อ่อนแอ โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 39 บาท

ขณะที่ SPA คาดว่าจะขาดทุนสุทธิ 91 ล้านบาท หรือ ลบ 65% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และติดลบ 5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยผลประกอบการยังถูกกดดันจากสถานการณ์โควิด-19 ที่รุนแรงมากขึ้น ตั้งแต่เดือนเม.ย. 64 ทั้งนี้ SPA เปิดให้บริการเพียง 8 สาขา เท่านั้นตลอดช่วงไตรมาส 3/64 เปรียบเทียบกับการเปิดบริการสปาทุกสาขาได้ 1 เดือน ในไตรมาส 2/64 อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงแนะนำซื้อ และประเมินราคาเป้าหมายกลางปี 66 ที่ 9 บาท

ด้าน ERW คาดว่าจะขาดทุนปกติที่ 600 ล้านบาท โดยติดลบ 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และติดลบ 7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยปัจจัยกดดันผลประกอบการ คือ ตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่รายวันที่ยังเร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม คาดว่า ผลประกอบการของ ERW จะฟื้นตัวได้ในไตรมสส 4/64 จากสภาวะการท่องเที่ยวของไทยที่ดีขึ้น

เนื่องจากมีการกระจายวัคซีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และภาระของโรงพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ลดลง โดยคาดว่ารัฐบาลจะยังคงใช้ความพยายามในการสนับสนุนการท่องเที่ยวด้วยการออกแคมเปญเพิ่มอีกในไตรมาส4/64 โดยบริษัทยังคงให้คำแนะนำซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 3.80 บาท อิงจาก EV/EBITDA กลางปี 66 ที่ 18.3 เท่า

สำหรับแนวโน้มกลุ่มท่องเที่ยว และโรงแรมในไตรมาส 4/64 ถึงปี 65 คาดว่าจะเริ่มทยอยฟื้นตัวได้ดี จากการเร่งกระจายฉีดวัคซีน โดยมองว่า ภายในสิ้นปีนี้ จะมีผู้ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม ประมาณ 60% ของประชากรทั้งหมด ทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวัน แม้จะอยู่ในระดับสูง แต่จะเริ่มไม่มีผลมากต่อการทำกิจกรรมต่างๆ และมองว่า การท่องเที่ยวได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 3/64 ที่ผ่านมา

*** งบ Q3/64 กลุ่มโรงพยาบาล กำไรโดดเด่น อานิสงส์โควิดระบาดหนัก

นายเกษม พันธ์รัตนมาลา ผู้บริหารสูงสุด สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยกับ 'สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย' ว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานกลุ่มโรงพยาบาลในไตรมาส 3/64 จะดีกว่าไตรมาส 2/64 และ ไตรมาส 3/63

เนื่องจากมีรายได้จากการให้บริการผู้ป่วยโควิด ทั้งการรักษา และ การตรวจหาเชื้อ แม้ว่าทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จะลดค่าตรวจลงก็ตาม แต่จำนวนผู้ติดเชื้อมีมากขึ้น และ ทางโรงพยาบาลมีการปรับเพิ่มค่ารักษาโควิด ซึ่งสามารถชดเชยรายได้การตรวจที่ลดลงได้

สำหรับกำไรไตรมาส 3/64 ของ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS ประเมินกำไรเติบโต 30% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน , โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ หรือ BH ประเมินกำไรเติบโต 30% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน ,

บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHG ประเมินกำไรเติบโต 120% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน ,บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH ประเมินกำไรเติบโต 200% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ราคาหุ้นโรงพยาบาลมีการปรับตัวลดลง ตามจำนวนผู้ติดเชื้อที่ลดลง จึงมองว่าเป็นโอกาสที่ควรเข้าเก็บ ซึ่งประเมินว่า โควิดยังอยู่กับประเทศไทยไปอีกระยะ ประกอบกับ เห็นได้จากนักลงทุนต่างชาติยังซื้อหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลอยู่ เพราะคำนึงถึงผลตอบแทนที่จะได้ในอนาคต โดยฝ่ายวิจัยยังแนะนำลงทุน CHG ให้ราคาเป้าหมาย 4.67 บาท และ BCH ราคาเป้าหมาย 28 บาท

นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. เคจีไอ มองว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/64 กลุ่มโรงพยาบาลยังแข็งแกร่ง เนื่องจากสถานการณ์การระบาดโควิดที่รุนแรงอย่างหนักในประเทศไทย และ มีการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโควิดเพิ่มขึ้น ได้แก่ BCH , CHG , EKH และ LPH โดยคาดว่ารายได้จากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโควิดในปีนี้จะอยู่ในช่วง 40%-60%

นอกจากนี้ ยังคาดว่าโรงพยาบาลจะได้อานิสงส์จากการเริ่มให้บริการฉีดวัคซีน Moderna ในไตรมาส 4/64

ที่มา : www.efinancethai.com