ข่าวแจ้งสื่อมวลชน

สถาบัน-ต่างชาติทิ้งกว่า 4 พันลบ. ขายล็อกกำไรกลุ่มบิ๊กแคป


หุ้นร่วง 13.66 จุด สวนทางตลาดต่างประเทศ ต่างชาติ-สถาบันร่วมกันขาย 4,717 ล้านบาท ปรับพอร์ตตามกำไรบจ.ไตรมาส 3 ชะลอตัว หุ้นบิ๊กแคปราคาวิ่งแรง 20 - 30% บล.เมย์แบงก์ฯ ให้แนวรับแรก 1,625 จุด ถัดไป 1,600 จุด เล่นสั้นแนะ 4 บจ.กำไรโต ASK, JMT, COM7, NER ระยะยาวธีมเปิดเมือง น่าสน AOT, BEM, TU บล.เอเซียพลัสมองบวกครม. เพิ่มวงเงินคนละครึ่งเฟส 3 อีก 1,500 บาท หนุนค้าปลีก แต่รอราคาอ่อนตัว CPALL, CRC, CPN, COM7, SPVI, DOHOME, HMPRO

ตลาดหุ้นวันที่ 19 ตุลาคม 2564 ถูกถล่ม ดัชนีปิดที่ 1,630.39 จุด ลดลง -13.53 จุด หรือ -0.82% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 96,547.31 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติพลิกมาขายสุทธิ 1,591.57 ล้านบาท สถาบันไทยทิ้ง 3,125 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนไทยช้อน 4,069.83 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต่างชาติยังคงมียอดซื้อสุทธิ 16,152.46 ล้านบาทในเดือน ต.ค. (1-19 ต.ค.) นับเป็นการซื้อต่อเนื่องเป็นเดือนที่สาม นับจากเดือน ส.ค. ซื้อสุทธิ 5,584 ล้านบาท และเดือน ก.ย. ซื้อสุทธิ 10,803 ล้านบาท

นับตั้งแต่นักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อสุทธิรวมทั้งสิ้น 32,539 ล้านบาท และมีปัจจัยบวกหนุน ส่งผลให้ KBANK ปรับตัวขึ้นแรงถึง 36.89% ปิดที่ 141 บาท จากระดับ 103 บาท แซงหน้า SCB ที่เพิ่มขึ้น 31.02% และ BBL เพิ่มขึ้น 16.10% ส่วนกลุ่มพลังงาน IRPC และ TOP ดีดตัวขึ้นแรงเท่ากัน 29.55% รับราคาน้ำมันดิบพุ่งแรง ส่วน ธีมเปิดเมือง AOT เพิ่มขึ้น 16.81% จากระดับ 56.50 บาทมาพักแถว 66.00 บาท เพิ่มขึ้นโดดเด่นเทียบกับตลาดโดยรวม (SET) เพิ่มขึ้น 7.13%

นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งแนะนำให้นักลงทุนขายหุ้น หลังจากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมามากโดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ (บิ๊กแคป) นำโดยหุ้นธนาคารพาณิชย์ ที่มีสัญญาณดีจากสถานการณ์โควิด จนนำไปสู่การคลายล็อกดาวน์ และแนวโน้มเศรษฐกิจดีขึ้น

นอกจากนี้หุ้นพลังงาน ราคาปรับตัวขึ้นหลังจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นแรงและเร็ว ขณะที่หุ้นกลุ่ม โลจิสติกส์ เดินเรือ ก็ไม่แนะนำให้ซื้อ และให้ขายออก เพราะธุรกิจผ่านจุดสูงสุดในไตรมาสที่ 3 แล้ว คาดแนวโน้มกำไรในไตรมาสที่ 4 จะโตไม่มาก เทียบกับราคาหุ้นขึ้นมาแรงเกินไป

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า หุ้นแกว่งตัว Sideways Down สวนทางตลาดภูมิภาคที่ส่วนใหญ่ปรับขึ้น เนื่องจากหุ้นไทยตอบรับข่าวปัจจัยบวกในช่วงก่อนไปหมดแล้ว นอกจากนี้มีแรงขายจากกองทุนเพื่อปรับพอร์ตให้เข้ากับช่วงรายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2564 ด้วย

ทั้งนี้ในทางเทคนิค แนวรับแรกตามเส้นค่าเฉลี่ย 25 วัน ที่ 1,625 จุด และแนวรับถัดไป 1,600 จุด ถ้าไม่หลุดตลาดจะยังคงเลี้ยงตัวในฝั่งของการรอรีบาวด์กลับ ส่วนแนวต้านตั้งไว้ 1,650 จุด ช่วงนี้ยังมีปัจจัยกดดันจากการขายปรับพอร์ตของกองทุนไทย สอดรับกับสู่ช่วงรายงานผลประกอบการ แต่ถ้าหากดัชนีหลุด 1,600 จุด แนวรับที่สำคัญต่อมาคือ 1,550 จุด

สำหรับการลงทุนระยะสั้น แนะนำเล่นหุ้นที่ผลประกอบการไตรมาส 3/2564 คาดว่าจะออกมาดี ได้แก่ ASK, JMT, COM7 และ NER ส่วนการลงทุนระยะยาว แนะนำหุ้นในกลุ่มเปิดเมือง ที่งบไตรมาส 4/2564 คาดว่าจะฟื้นตัว โดยใช้จังหวะราคาหุ้นย่อตัวหลังรายงานงบไตรมาส 3 เป็นโอกาสเข้าซื้อ ได้แก่ AOT, BEM และ TU

ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตามต่อ คือทิศทางเรื่องเงินเฟ้อของสหรัฐ ซึ่งอาจจะส่งผลให้การขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้ รวมถึงทิศทางของราคาพลังงานต่างๆ ก็อาจจะมีผลต่อบจ. ส่วนปัจจัยในประเทศติดตามการรายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2564

บล.เอเซีย พลัส ประเมินการเพิ่มวงเงินคนละครึ่งเฟส 3 อีก 1,500 บาท/คน เป็น 4,500 ล้านบาท ต่างจากตลาดคาดอนุมัติคนละครึ่งเฟส 4 อาจสร้างความผันผวนตลาดหุ้นในระยะสั้น โดยเฉพาะกลุ่มค้าปลีก-ห้างสรรพสินค้า

อย่างไรก็ตาม คาดโครงการคนละครึ่งเฟส 4 และโครงการอื่นๆ เช่น ช้อปดีมีคืน มีโอกาสกลับมาพิจารณาอีกครั้ง จากความต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปียังสูง ดังนั้น หุ้นค้าปลีกจึงยังน่าสะสม หากราคาอ่อนตัว เช่น CPALL, CRC, CPN, COM7, SPVI, DOHOME, HMPRO

ที่มา : www.hoonsmart.com