ข่าวจากสื่อสิ่งพิมพ์และข่าวแจ้งสื่อมวลชน
วัสดุก่อสร้างคึกรับซ่อมบ้าน DOHOME-GLOBAL สดใสถึงปี 65
หุ้น 'ดูโฮม-สยามโกลบอล' เทรดคึก มูลค่าซื้อขายหนาแน่น แม้ราคาบวกลบบ้างตามภาวะตลาด หลังแจ้งงบไตรมาส 3 ที่กำไรเติบโต 152.81% และ 63.63% ตามลำดับ โบรกฯ มอง DOHOME และ GLOBAL ได้รับผลบวกจากภาวะน้ำท่วมเพราะการซ่อมแซมบ้านเรือนหลังน้ำลด อีกทั้งการขยายสาขาและลงทุนเพิ่ม คาดผลงาน Q4 สดใสต่อเนื่องถึงปี 65 แนะนำซื้อ ให้ราคา GLOBAL 27 บาท ส่วน DOHOME เป้าหมายเหนือ 30 บาท
กลุ่มวัสดุก่อสร้างคึกคักมากเมื่อเกิดภาวะน้ำท่วมในพื้นที่หลายจังหวัดทั่วประเทศตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา แม้ว่าขณะนี้ได้ลดระดับลงแล้ว แต่พายุและฝนตกหนักกลับไปกระหน่ำซ้ำในเขตภาคใต้ของไทยช่วงเดือนพ.ย.เรื่อยมาทำให้เกิดความเสียหายแก่บ้านเรือนในหลายพื้นที่ต่อเนื่อง แน่นอนว่าผลที่จะตามมาคือการซ่อมแซมที่อยู่อาศัย ถนนหนทางและอื่นๆ ดังนั้น ความต้องการใช้วัสดุต่างๆ เพื่อก่อสร้างและซ่อมแซมจึงมีเพิ่มขึ้น
หุ้นที่ดำเนินธุรกิจผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าวัสดุก่อสร้างจึงได้รับความสนใจจากนักลงทุน บริษัทจดทะเบียน 2 แห่งที่โบรกเกอร์ประเมินและมองว่าจะสดใสเพราะได้รับผลดีจากมาตรการที่ผ่อนคลายจากรัฐหลังมีการล็อกดาวน์มีหุ้นหลายตัวจะได้รับอานิสงส์ และนั่นคือ DOHOME หรือบริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) และ GLOBAL หรือ บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งหุ้น DOHOME และ GLOBAL คึกคักมากขึ้นหลังแจ้งงบมีไตรมาส 3 ปีนี้ล้วนทำกำไรต่อเนื่อง
ราคาหุ้น DOHOME เทรดกันในระดับ 23-27 บาท ซึ่งอาจบวกลบบ้างในแต่ละวัน แต่มูลค่าซื้อขายหนาแน่นมากวันละเกือบ 200 ล้านบาท บางวันขึ้นไป 300-400 ล้านบาท เมื่อวันที่ 16 พ.ย.ที่ผ่านมา มูลค่าซื้อขายสูงถึง 1,120.72 ล้านบาท ขณะผลงานไตรมาส 3 พบว่ามีกำไรสุทธิ 340.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำไว้ 187.58 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 152.81% ขณะ GLOBAL แม้ราคาจะแผ่วลงมาต่ำกว่า 20 บาท แต่มูลค่าซื้อขายยังคงหนาแน่น
DOHOME คึกรับซ่อมบ้าน-งานก่อสร้าง
บล.คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ บล.คันทรี่ กรุ๊ป ประเมินหุ้น DOHOME ซึ่งเป็นหนึ่งในอีกหลายบริษัทที่ได้รับผลดีจากการเกิดภาวะน้ำท่วม เพราะหลังจากน้ำลดความต้องการปรับปรุงบ้านเรือน ขณะที่ DOHOME แจ้งผลงานไตรมาส 3 ออกมาพบว่าต่ำกว่าคาด เพราะมีกำไรสุทธิ 340 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 82% แต่ลดลง 43% จากไตรมาสก่อน คิดเป็น 78% ของประมาณการปี 2564 ต่ำกว่าคาดจากค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าคาด ส่วนผลประกอบการเติบโตจากปีก่อนจากยอดขายสาขาเดิมเติบโต 14.9% และอัตรากำไรที่ปรับตัวดีขึ้นจากต้นทุนสินค้าที่ลดลง การบริหารศูนย์กระจายสินค้าที่ดีขึ้น อีกทั้งอัตรากำไรจากสินค้ากลุ่มเหล็กที่เพิ่มขึ้น ขณะที่เทียบไตรมาสลดลงจากปัจจัยฤดูกาล (ฤดูฝน) และการชะลอตัวของงานก่อสร้าง
อย่างไรก็ดี คาดผลประกอบการไตรมาส 4 จะเติบโตสวยงามจากความต้องการในการปรับปรุงบ้านเรือนหลังน้ำท่วม และความต้องการวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนคงคำแนะนำ 'ซื้อ' ที่ราคาเป้าหมาย 28 บาท อิง 35xPE'22E
บล.เคทีบีเอสที แนะนำ 'ซื้อ' DOHOME ให้ราคาเป้าหมายที่ 33.50 บาทโดย roll-over ราคาเป้าหมายไปปี 2565 และ de-rate PER ลงมาที่ 36.0x (avg peer 30x) จากเดิมที่ 40.0x ขณะที่ DOHOME แจ้งกำไรงวดนี้ต่ำกว่า consensus แม้ยอดขาย in line ซึ่ง บล.เคทีบีเอสที คาดที่ 6.03 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 27% แต่ลดลง 5% จากไตรมาสก่อน ผลจากการเปิดสาขาเพิ่ม และ SSSG เติบโต 15% จากปีก่อน ส่วนการลดลงจากไตรมาสก่อนมาจากผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์และ GPM ออกมาเท่าคาดที่ 20.2%
อย่างไรก็ตาม SG&A/sales ปรับขึ้น 136 bps. ที่ 12.0% เพราะค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดสาขาใหม่ คงกำไรสุทธิปี 2564 ที่ 2.03 พันล้านบาท คาด SSSG ทั้งปีเติบโตได้ 18% จากปีก่อน คาดไตรมาส 4 จะฟื้นตัวหลัง รัฐบาลเร่งการฉีดวัคซีน และคลายมาตรการล็อกดาวน์ รวมถึงบริษัทจะเปิดสาขาใหม่อีก 2 สาขา พร้อมคงกำไรสุทธิปี 2565 ที่ 2.25 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% ผลจากการเพิ่มสาขา
บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง DOHOME ว่า ผลประกอบการไตรมาสที่ 4 จะปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และเทียบจากไตรมาสก่อน จากยอดขายที่เติบโต เพราะ SSSG แข็งแกร่ง และการเปิดสาขาใหม่ในไตรมาส 4 รวมถึงมีอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่บริษัทเน้นแผนขยายสาขาเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองเพื่อต่อรองกับ Supplier ตามจำนวนสินค้าที่ซื้อและ Product Mix ที่ดีขึ้น เมื่อประกอบกับกลยุทธ์การขายสินค้า House Brand ที่บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 20% ในปี 2565 คาดว่าอัตรากำไรของ DOHOME น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงคำแนะนำ 'ซื้อ' และคงเป้าหมายสิ้นปี 2565 ที่ราคา 34 บาท
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ DOHOME ว่า ในไตรมาส 4/2564 SSSG ทำได้ดีมีสัญญาณบวกของเดือนตุลาคมเป็นบวกมากกว่า 30% สูงกว่าไตรมาส 2/2564 ที่โตระดับ 14-16% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2563 คาดว่าแนวโน้ม SSSG ของปี 2564 อาจทำได้มากกว่า 20% เมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน ดีกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาดไว้เดิม 17-20% การขยายสาขาใหม่ต่อเนื่องช่วยเสริมรายได้ในอนาคต ปลายปี 2564 เตรียมเปิด 2 แห่ง และในปี 2565 มีแผนเปิดเพิ่มอีก 5 แห่ง
อีกทั้งไตรมาส 4 กำลังซื้อเพิ่มจากการเข้าสู่ช่วงฤดูกาลและผลกระทบจากน้ำท่วม ทำให้สินค้าซ่อมแซมจะได้รับความนิยม ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาดูต่อไป เช่น การกลับมาแพร่ระบาดของโควิด-19 ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว รวมไปถึงภัยทางธรรมชาติ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยให้คำแนะนำ 'ซื้อ' DOHOME โดยประเมินราคาเป้าหมายไว้ที่ 31.20 บาท
นางสลิลทิพ เรืองสุทธิภาพ รองกรรมการ ผู้จัดการสายงานบัญชี การเงิน และสนับสนุนองค์กร DOHOME เผยก่อนหน้านี้ว่าตั้งต้นเดือนตุลาคมถึงปัจจุบันอัตราการเติบโตของยอดขายต่อสาขาเดิม (SSSG) เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 30% ซึ่งสูงมากกว่าเมื่อเทียบกับช่วงอื่นของปีหลังจากคลายมาตรการคลายล็อกดาวน์ รวมถึงการเปิดประเทศทำให้ความต้องการซ่อมแซม บำรุงรักษา และตกแต่งที่อยู่อาศัยรับช่วงเทศกาลปีใหม่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน อีกทั้งยังเข้าสู่ช่วงไฮซีซันของธุรกิจ คาดว่าในไตรมาส 4/2564 ยอดขายจะสูงที่สุดปีนี้ พร้อมเดินหน้าเปิดสาขาตามเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่สถานการณ์น้ำท่วม คาดว่า หลังจาก สถานการณ์น้ำคลี่คลายลงจะทำให้มีความต้องการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นจึงมองว่าเฉลี่ยรวม SSSG ในช่วงไตรมาส 4 มีโอกาสที่จะยืนเหนือ 20% เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่ระดับ 10% ซึ่ง DOHOME ได้เตรียมผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งในส่วนของหน้าบ้าน และหลังบ้าน ให้เพียงพอรองรับความต้องการที่จะเกิดขึ้น และหากไม่มีการกลับมาระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ตลอดจนการปลดล็อกดาวน์หลายพื้นที่ในประเทศอย่างต่อเนื่อง จะหนุนให้ยอดขายต่อสาขาเดิม หรือ SSSG ทรงตัวในระดับสูงได้ต่อเนื่องไปถึงไตรมาสแรกปี 2565
'ไตรมาสสุดท้ายจะเป็นช่วงประกาศงบปี 2565 หนุนให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในงานเกี่ยวเนื่องก่อสร้างเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้เตรียมความพร้อมของผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งในส่วนของหน้าบ้านและหลังบ้าน ให้เพียงพอรองรับความต้องการที่จะเกิดขึ้น โดยหากว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ไม่มีผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วม หรือการกลับมาระบาดระลอกใหม่ของไวรัสโควิด-19 ตลอดจนการปลดล็อกดาวน์หลายพื้นที่ในประเทศอย่างต่อเนื่องก็สนับสนุนให้ยอดขายต่อสาขาเดิม (SSSG) โตทรงตัวเฉลี่ยที่ระดับตัวเลข 2 หลัก หรือเหนือระดับราว 20% ได้อย่างต่อเนื่อง' นางสลิลทิพ กล่าว
GLOBAL ผลงาน Q4 โตทะลุ 30%
บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOBAL คืออีกหนึ่งบริษัทที่จะได้รับอานิสงส์จากน้ำท่วม และภาพของ GLOBAL หลังจากบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ *SCC ส่งบริษัทลูก บริษัท เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น จำกัด เข้าไปเทกโอเวอร์ GLOBAL เมื่อปลายปี 55 ซึ่ง SCC ต้องการให้บริษัทนี้เป็นหัวหอกในการขยายธุรกิจวัสดุก่อสร้างของเครือซิเมนต์ไทย และหลังจากนั้นจะพบว่าGLOBAL และ SCC ร่วมลงขันทำธุรกิจร่วมกันหลายอย่าง รวมถึงตั้งบริษัทหลายแห่ง เช่น การลงขันร่วมทุนในสัดส่วนฝ่ายละ 50% ตั้งบริษัทโกลบอลเฮ้าส์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัดหรือ GBI หวังขยายธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างในรูปแบบคลังสินค้าในอาเซียน
ล่าสุด GBI ได้เข้าซื้อหุ้นที่ออกใหม่ของบริษัท Caturkarda Depo Bangunan (CKDB) จำนวน 865,653,100 หุ้น คิดเป็น 12.75% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมด ที่ราคา 482 อินโดนีเซียรูเปียห์ต่อหุ้น คิดเป็นเงินลงทุน 418 พันล้านอินโดนีเซียรูเปียห์ หรือ 981 ล้านบาท ซึ่งดำเนินธุรกิจวัสดุก่อสร้างในอินโดนีเซีย ด้วยเป้าหมายการขยายธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างในภูมิภาคอาเชียน
ขณะที่เมื่อเดือนสิงหาคม GLOBAL ได้จัดตั้ง บริษัท กว่างซี โกลบอลเฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เทรด จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในประเทศจีน และ GLOBAL ถือหุ้น 100% ทุนจดทะเบียนไม่เกิน 3,500,000 เรนมินบิ หรือ 17,950,450 บาท เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของบริษัท โดยทำหน้าที่จัดหาสินค้าจากประเทศจีน
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มองแนวโน้ม การดำเนินงานไตรมาส 4 ของ GLOBAL คาดว่ากำไรยังอยู่ในเกณฑ์ดีและเติบโตได้มากกว่า 30% เทียบปีก่อน เนื่องจากยอดขายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการที่ SSSG เดือนตุลาคมเป็นบวกเกิน 10% รวมทั้งอาจได้อานิสงส์จากความต้องการซ่อมแซมบ้านหลังจากสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลายลง อีกทั้งอาจมีการเปิดสาขาใหม่อีก 1-2 แห่ง อัตรากำไรขั้นต้นยังมีแนวโน้มสูงกว่าปีก่อนจากการปรับกลยุทธ์สินค้า House Brand ทำให้มีอัตรากำไรสูงขึ้น
คาดกำไรปี 2564 จะเติบโต 54% เป็น 3,136 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปี 2565 ที่ 8% เป็น 3,382 ล้านบาท ทั้งนี้ GLOBAL ได้แจ้งการลงทุนในประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งอาจเริ่มมีการขยายสาขาในปี 2566 สนับสนุนการเติบโตของบริษัทในระยะยาว จึงยังคงคำแนะนำ 'ซื้อ' ราคาเป้าหมาย (DCF) 27 บาท
บล.เคทีบีเอสที ระบุว่า GLOBAL มีสาขาอยู่ในต่างจังหวัดค่อนข้างมาก จึงได้รับผลกระทบจำกัดจากมาตรการล็อกดาวน์ครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลเริ่มมีการสั่งล็อกดาวน์ในพื้นที่ต่างจังหวัดผลกระทบจะมากขึ้น กลายเป็นปัจจัยกดดันต่อประมาณการของฝ่ายวิจัย โดย ประเมินว่ากำไรสุทธิปี 2564 GLOBAL จะอยู่ที่ 3.26 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 67% ตามการเติบโตของรายได้ที่คาดไว้ 3.34 หมื่นล้านบาท จากยอดขายสาขาเดิมที่คาดเติบโต 14% และจะเปิดสาขาเพิ่มอีก 2 สาขา รวมปีนี้จะเปิดสาขา ทั้งหมด 5 สาขา เป็น 76 สาขา ขณะที่ อัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ 24.8% ลดลงเล็กน้อยจากช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 25.7%
ส่วนปี 2565 คงคาดการณ์กำไรสุทธิไว้ที่ 3.49 พันล้านบาท โดยได้รับปัจจัยหนุนจากรายได้ที่เติบโตตามการเปิดสาขาใหม่ และอัตรากำไรขั้นต้นที่ 24.5% สอดคล้องกับการปรับกลยุทธ์การขายที่เน้นสินค้า House Brand มากขึ้น ขณะที่ในระยะยาว คาดว่ากำไรปี 2563-2566 จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 26%
นายวิทูร สุริยวนากุล ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร GLOBAL รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ว่า บริษัทมีผลกำไรสุทธิ (เฉพาะกิจการ) เมื่อเปรียบเทียบกับระยะเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา 636.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 194.62 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 44.01%
และเมื่อรวมส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในการร่วมค้าผ่านบริษัท โกลบอลเฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และการลงทุนในบริษัทย่อยในนาม Global House Cambodia Co., Ltd จะทำให้บริษัทมีผลกำไรสุทธิตามงบการเงินรวม 663.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเวลาเดียวกันของปี 2563 จำนวน 202.97 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 44.09% เนื่องจากการปรับกลยุทธ์ในการบริหารสินค้ากลุ่ม House Brand และการกระตุ้นยอดขายสินค้าผ่านช่องทางต่างๆ มากขึ้น
สำหรับผลประกอบการงวด 9 เดือนปีนี้ บริษัทมีผลกำไรสุทธิ 2,609.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,014.66 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 63.63% เมื่อเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันของปี 2563 (ณ 30 ก.ย.2564 บริษัทมีจำนวนสาขารวม 74 สาขา เพิ่มขึ้นจากระยะเวลาเดียวกันของปี 2563 จำนวน 6 สาขา) โดยมีปัจจัยหลักรายได้จากการขายสำหรับไตรมาส 3 ที่ 7,684.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จากงวดเดียวกันของปี 2563 จำนวน 1,245.79 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 19.35% และสำหรับงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2564 เท่ากับ 25,251.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 5,318.88 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 26.68% เป็นผลมาจากยอดขายของสาขาเดิมที่เพิ่มขึ้นและการเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 6 สาขา เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม พักนี้ราคาหุ้น GLOBAL และ DOHOME อาจปรับขึ้นๆ ลงๆ บ้าง ย่อมเป็นไปตามสภาพตลาดและกระแสความต้องการของนักลงทุน
ที่มา : www.mgronline.com