ข่าวจากสื่อสิ่งพิมพ์และข่าวแจ้งสื่อมวลชน

หุ้นเด่น


บริษัทหลักทรัพย์(บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) วิเคราะห์หุ้นบริษัท ดูโฮม หรือ DOHOME ถึงแม้ว่าฐานการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม(SSSG) ของ DOHOME จะสูงใน 2Q64 อยู่ที่ 23.6%แต่ SSSG QTD ยังแข็งแกร่งอยู่ที่ประมาณ 16% อัตราการเติบโตของยอดขายอยู่ที่ประมาณ 35% YoY อัตรากำไรเพิ่มขึ้นจาก 17.6% ใน 1Q65 เป็นประมาณ 19%-20% ใน 2QTD โดยได้แรงหนุนจากโครงสร้างยอดขายที่ดี (วัสดุก่อสร้างมีสัดส่วนลดลง) บริษัทยังคงแผนขยายสาขาร้าน (Size L) ปีละ 5 ร้าน เพื่อให้ได้ตามเป้า 36 ร้าน ในปี 2568 ในขณะเดียวกัน การใช้กลยุทธ์ house brand จะเป็นตัวขับเคลื่อนอัตรากำไร ทั้งนี้ แม้ว่าสัดส่วนยอดขายสินค้า house brand จะอยู่ที่ 16% เท่านั้นใน 1Q65 แต่บริษัทตั้งเป้าจะเพิ่มสัดส่วนยอดขายสินค้า house brand เป็น 18% และ 20% ในปลายปี 2565-2566 ตามลำดับ

ปรับลดประมาณการกำไร

ถึงแม้ว่า DOHOME จะได้อานิสงส์จากการที่ราคาเหล็กขยับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง (ดัชนีราคาเหล็กเพิ่มขึ้น 19% YoY, 6%MoM ในเดือนเมษายน 2565) แต่ยังมีปัจจัยความไม่แน่นอนบางประการได้แก่ i) การ lockdown ของประเทศจีนอาจจะทำให้การจัดส่งสินค้า house brand เกิดความล่าช้า (คาดว่าจะมีสินค้าประมาณ 200 SKUsเพิ่มเข้ามาในร้านใน 2Q65-3Q65 ซึ่งจะช่วยหนุนอัตรากำไรใน 2H65) เนื่องจากสินค้า house brand ประมาณ 70-80% มาจากประเทศจีนii) ต้นทุน logistic เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันที่แพงขึ้น ในขณะที่มีช่วงเหลื่อมเวลา (lag time) ของการที่บริษัทจะส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปให้ลูกค้า ดังนั้น เราจึงทบทวนสมมุติฐานใหม่ (อัตรากำไรขั้นต้น และสัดส่วนยอดขายสินค้า house brand) ซึ่งทำให้เราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2565-2566 ลง 10% และ 4%ตามลำดับ ส่งผลให้ EPS ของ DOHOME ปีนี้ลดลง 6% ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นถึง 23% ในปี 2566 อย่างไรก็ตาม เพื่อความอนุรักษ์นิยมเราจึง de-rate PER จากเดิม 34.0x (ค่าเฉลี่ยในอดีตของ Siam Global House (GLOBAL) และ Home Product Center (HMPRO) +0.5 S.D.) เหลือ 32.0X (ค่าเฉลี่ยในอดีต)

เราปรับลดราคาเป้าหมายสิ้นปี 2565 ลงจากเดิม 27.00 บาทเหลือ 22.50 บาท อิงจาก PER ที่ 32.0x (ค่าเฉลี่ยในอดีตของ Siam Global House (GLOBAL) และ Home Product Center (HMPRO)) ถึงแม้ว่าเราจะ de-rate PER ลง แต่ราคาปิดล่าสุดยังเหลือ upside อีกถึง 17% ดังนั้น เราจึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” DOHOME

ปัจจัยเสี่ยงจากเศรษฐกิจชะลอตัวลง, ขยายสาขาได้น้อยกว่าที่วางแผนเอาไว้, ราคาพืชผลอ่อนแอ, ภัยธรรมชาติ, สินค้าค้างสต๊อกเป็นจำนวนมาก

ที่มา : www.naewna.com