ข่าวจากสื่อสิ่งพิมพ์และข่าวแจ้งสื่อมวลชน
DOHOME ไตรมาส 3 กำไรดี ได้แรงหนุนจากรายได้และมาร์จิ้น
ผู้สื่อข่าว 'มิติหุ้น' รายงานว่า บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) คาด DOHOME จะมีกำไรปกติราว 185 ล้านบาท (+38%YoY,+26%QoQ) ปรับเพิ่มสาเหตุจากการรับรู้รายได้ทำได้ดี 4.7 พันล้านบาท (+15%YoY,+3%QoQ) แรงซื้อยังได้รับการสนับสนุนที่ดีจากงานซ่อมแซมของหน่วยงานราชการ ที่ได้แรงหนุนจากงบประมาณภาครัฐ ขณะที่การเปิดสาขาทำได้เป็นปกติหลังประสบปัญหา COVID-19 ส่งผลต่อระดับมาร์จิ้นที่ขยับเพิ่มอยู่ที่ระดับใกล้เคียงเดิมอยู่ที่ 16.8% ดีจากไตรมาส2/63 ที่ 14.9% ขณะเดียวกันยังมีค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งเกิดจากการเปิดสาขาใหม่ Size L ที่ มาบตาพุด จ.ระยอง และการเปิดสาขา Dohome To Go ในพื้นที่ตลาด 2 สาขา
SSSG บวกระดับ 8-9%
สำหรับ SSSG ในไตรมาส3/63 DOHOME ทำได้ใกล้เคียงกับที่ฝ่ายวิจัยคาดไว้ก่อนหน้าที่ 10% โดยเป็นบวกที่ระดับ 8-9% เนื่องจากในช่วงกลางเดือน ก.ย.ที่ผ่านมาเริ่มมีฝนตกทำให้มีผลต่อยอดขายที่ลดลง อย่างไรก็ดีในงวด 9 เดือนปี63 DOHOME มี SSSG เฉลี่ยติดลบเพียงเล็กน้อยราว 0.33%YoY ซึ่งทำได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่คาดจะเห็นตัวเลข SSSG ติดลบราว 5%YoY สำหรับแนวโน้ม ในไตรมาส4/63 คาดบริษัทยังมียอดขายที่ทำได้ต่อเนื่องจากกลุ่มลูกค้าหน่วยงานราชการ โดยบริษัทมีแผนเปิดสาขาใหม่ Dohome To Go อีกราว 2-3 แห่ง ทำให้ ณ สิ้นปี คาดว่า DOHOME จะมีสาขา Dohome To Go โดยรวม 11-12 แห่ง ซึ่งยังคงเห็นการเปิดตัวในพื้นที่ใกล้ชุมชนและตลาด ซึ่งค่อนข้างได้รับการตอบรับค่อนข้างดี
แนะนำเป็น 'เก็งกำไร'
DOHOME ยังคงทำได้ดีในการบริหารภายใน 1)เร่งยอดขายโดยการเข้าถึงกลุ่มลูกค้ามากขึ้นโดยทีมการตลาด 2)กระตุ้นยอดขายในสินค้าที่มีมาร์จิ้นดี รวมถึงการขายสินค้า House Brand โดยปัจจุบันมีสัดส่วนจากยอดขาวราว 16% บริษัทยังคงยืนยันเป้าหมายในการเพิ่มขึ้นเป็น 20% ในปี 2565 ผลกระทบจาก COVID-19 ส่งผลต่อยอดขายสินค้า House Brand ของปี 2563 ทำได้น้อยกว่าที่คาด
ทางฝ่ายได้ปรับประมาณการสมมุติฐานสัดส่วนสินค้าขายสินค้า House Brand ลงเป็น 16% จาก 17.5% ส่งผลต่อระดับมาร์จิ้นเฉลี่ยทั้งปีลดลงเป็น 16.2% จากเดิม 16.7% กำไรสุทธิปี 2563 เป็น 707ล้านบาท ลดลง15% โดยปี 2564 คาดรายได้และมาร์จิ้นค่อยๆ ฟื้นตัว และยังได้ประโยชน์จากความต่อเนื่องได้ประโยชน์จากการปรับภูมิทัศน์ภายในที่อยู่อาศัย และงบประมาณภาครัฐช่วยหนุนกำลังซื้อ ซึ่งคาด DOHOME จะมีการเติบโตที่ต่อเนื่องในระยะยาว ดังนั้นจึงได้ราคาเหมาะสมปี 2564 เป็น 16.00 บาท จากเดิม 13.70 บาท
ที่มา : mitihoon.com