News Clippings and IR Press Releases

เจาะ 'หุ้นเด่น' ล้อแผนฉีดวัคซีนโควิด 6 กลุ่มรับปัจจัยบวก ลุ้น Q3 กำไรฟื้น


วัคซีนโควิด-19 ถือเป็นความหวังของเศรษฐกิจไทย ที่รัฐบาลต้องเร่งฉีดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ได้โดยเร็ว เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว เศรษฐกิจไทยจะยิ่งฟื้นตัวล่าช้ากว่าประเทศอื่น ๆ

ดังนั้นช่วงที่ผ่านมา จึงเห็นความพยายามผลักดันของภาคเอกชน และภาครัฐที่เริ่มปรับแผนจัดหาและเร่งฉีดวัคซีนให้เร็วขึ้น

หุ้นธีมการกระจายวัคซีน

โดยในมุมการลงทุนในหุ้นนั้น 'ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์' ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซียพลัส จำกัด ชี้ว่า 'ธีมการกระจายวัคซีน'จะเป็นธีมลงทุนในเดือน มิ.ย.นี้ และช่วงที่เหลือของปี 2564 ซึ่งการเร่งฉีดวัคซีนเป็น 1 ใน 3 ความหวังที่เป็นมุมมองเชิงบวกเข้ามาในเดือน มิ.ย.นี้

นอกเหนือจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการส่งออกที่ขยายตัวดี

ทั้งนี้ คาดว่าตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย.เป็นต้นไป จะเริ่มเห็นความชัดเจนเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนมากขึ้น โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน คนไทยได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 3 ล้านคน

ขณะที่เดือน มิ.ย.นี้จะมีวัคซีนเข้ามา 6 ล้านโดส และตั้งแต่เดือน ก.ค. ไปถึงเดือน ธ.ค. จะมีวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าเข้ามาลอตใหญ่ ประมาณ 10 ล้านโดสต่อเดือน

'ถ้ามีการเร่งฉีดวัคซีนตั้งแต่เดือน มิ.ย.เป็นต้นไป น่าจะทำให้การผ่อนคลายและเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น และถ้าเราฉีดวัคซีนตามแผนที่รัฐบาลวางไว้ตามวัคซีนที่เรามีในคลัง จนถึงสิ้นปีประชากรไทยจะมีจำนวนผู้ฉีดวัคซีนราว 40 ล้านคน คิดเป็น 56% ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งจะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ และจะเป็นพระเอกที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจ'

6 กลุ่มหุ้นรับปัจจัยบวก

โดยหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเร่งฉีดวัคซีน มีด้วยกัน 6 กลุ่ม ได้แก่1.หุ้นกลุ่มเปิดเมือง ซึ่งมีโอกาสชนะตลาดสูงมาก ไล่เรียงตั้งแต่เซ็กเตอร์ขนส่ง โดยแนะนำซื้อหุ้น AAV (บมจ.เอเชีย เอวิเอชั่น), AOT (บมจ.ท่าอากาศยานไทย),BEM (บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ), BTS (บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์), DMT (บมจ.ทางยกระดับดอนเมือง) เป็นต้น

'เด่นสุดคือ AOT เพราะราคาหุ้นสะท้อนปัจจัยลบไประดับหนึ่งแล้ว และยังมีอัพไซด์จากการเปิดเมือง ซึ่งท่าอากาศยานมีความเสี่ยงต่ำ โดยเราให้ราคาเป้าหมายสิ้นปีที่ 67 บาท'

2.หุ้นกลุ่มบันเทิง แนะนำ ซื้อ MAJOR (บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป), VGI (บมจ.วีจีไอ), PLANB (บมจ.แพลน บี มีเดีย) เด่นสุด คือ MAJOR ให้ราคาเป้าหมายที่ 24 บาท

จากราคาหุ้นยังมีอัพไซด์ ซึ่งโรงหนังจะเริ่มทยอยเปิดตามการเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ประกอบกับช่วงครึ่งปีหลังภาพยนตร์ Fast 9 ที่เปิดฉายจะหนุนรายได้

3.หุ้นกลุ่มค้าปลีกและห้าง แนะนำซื้อ CRC (บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น), CPALL (บมจ.ซีพี ออลล์), HMPRO (บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์), BJC (บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์), DOHOME (บมจ.ดูโฮม),

SPVI (บมจ.เอส พี วี ไอ),CPN (บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา) เด่นสุด คือ SPVI, CPALL, CPN ประเมินราคาเป้าหมายที่ 8.65 บาท, 74 บาท, 58 บาท (ตามลำดับ) ซึ่งยังมีอัพไซด์เกือบ 30%

4.หุ้นท่องเที่ยวโรงแรม แนะนำซื้อ MINT (บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล), ERW (บมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป), CENTEL (บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา) เด่นสุด คือ MINT ให้ราคาเป้าหมายที่ 34 บาท

เหตุผลเพราะยุโรปมีการฟื้นตัวเร็ว ซึ่งฐานรายได้หลักผ่าน NH Hotel คิดเป็นกว่า 64% โดยปัญหาโครงสร้างการเงินที่อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) มีปัญหาก่อนหน้านี้ ได้รับการผ่อนผันจากเจ้าหนี้แล้ว

5.หุ้นได้ประโยชน์ทางอ้อมจากบรรยากาศเชิงบวกอย่างกลุ่มธนาคารพาณิชย์ แนะนำซื้อ KBANK (ธนาคารกสิกรไทย), BBL (ธนาคารกรุงเทพ) เด่นสุด คือ KBANK ราคาเป้าหมายที่ 155

โดยหากมีการฉีดวัคซีนมากขึ้น ธุรกิจเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นโครงสร้างสินเชื่อหลักจะฟื้น ดังนั้น กลุ่มนี้ราคาหุ้นดาวน์ไซด์ต่ำ

และ 6.หุ้นกลุ่มเช่าซื้อ แนะนำซื้อ MTC (บมจ.เมืองไทย แคปปิตอล), SAWAD (บมจ.ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น), TIDLOR (บมจ.เงินติดล้อ) เด่นสุด คือ MTC ให้ราคาเป้าหมายที่ 80 บาท ความน่าสนใจทางพื้นฐานดีสุด ราคาหุ้นปรับฐานลงมาก คาดว่าช่วงไตรมาส 2 จะเห็นการฟื้นตัวโดดเด่นสุด จากช่วงเปิดเทอมและฤดูกาลเพาะปลูก ชาวบ้านน่าจะนำรถมาจำนำทะเบียนกันมากขึ้น

กลุ่มท่องเที่ยวฟุบยาว 2-3 ปี

ขณะที่ 'มงคล พ่วงเภตรา' ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ถ้าจะเล่นธีมกระจายวัคซีน หุ้นโรงพยาบาลน่าจะได้ประโยชน์ แต่คงไม่มากเหมือนความคาดหวังในอดีต เพราะรัฐเร่งฉีดวัคซีนฟรี บวกกับทางราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์เปิดให้จองราคา 1,000-2,000 บาทต่อโดส ทำให้ลอตแรกคนไทยได้ฉีดฟรีหมด

'แรงคาดหวังโรงพยาบาลเอกชนที่จะนำเข้าวัคซีนทางเลือก Moderna และ Pfizer ลอตใหญ่ ๆ น่าจะเป็นช่วงปี 2565 ทำให้ไม่ได้ทำกำไรมาก ถ้าได้คงเป็นกลุ่มโรงพยาบาลประกันสังคมเป็นหลักที่รับจ้างฉีด เช่น BCH (บมจ.บางกอกเชน ฮอสปิทอล), CHG (บมจ.โรงพยาบาลจุฬารัตน์)' นายมงคลกล่าว

ขณะที่กลุ่มหุ้นสายการบิน ท่องเที่ยว และโรงแรม 'มงคล' ประเมินว่า ยังไม่น่าจะฟื้นตัว เพราะคงไม่มีใครท่องเที่ยวช่วงนี้ ซึ่งหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าการท่องเที่ยวไทยจะฟื้นตัว ต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปี

แนะทยอยสะสมหุ้นอิงเศรษฐกิจฟื้น

ส่วนหุ้นได้ประโยชน์จะอิงกับทิศทางฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อาทิ กลุ่มที่อยู่อาศัย, ธนาคารพาณิชย์, ค้าปลีก, นิคมอุตสาหกรรม และรับเหมาก่อสร้างที่ได้กำลังซื้อจากเม็ดเงินผ่านโครงการภาครัฐและการลงทุน

'หุ้นส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม laggard ที่ราคายังไม่ปรับขึ้นเหมือนหุ้นตัวอื่น ๆ เช่น CPALL ผลประกอบการจะวกกลับค่อนข้างเด่น จากที่โดนผลกระทบโควิด โดย KBANK น่าจะปรับตัวขึ้นได้ แต่ช้าเพราะมีปัญหาหนี้เสีย ขณะที่ CK (บมจ.ช.การช่าง) จะได้แรงหนุนการประมูลรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้และสีส้มตะวันตก และ AMATA (บมจ.อมตะ คอร์ปอเรชัน) แรงหนุนจากที่มีการลงทุนในอุตสาหกรรมนิคมรถยนต์ไฟฟ้า (รถอีวี) ซึ่งนักลงทุนต้องใช้จังหวะนี้ทยอยซื้อสะสม เพราะกำไรบริษัทเหล่านี้จะเห็นการฟื้นตัวชัดเจนในช่วงไตรมาส 3 เป็นต้นไป' นายมงคลกล่าว

ทั้งหมดนี้เป็นแนวทางการลงทุนหุ้นกลุ่มต่าง ๆ จากมุมมองของนักวิเคราะห์ ซึ่งนักลงทุนก็ต้องศึกษารายละเอียดหุ้นแต่ละตัว และพิจารณาถึงความเสี่ยงที่เหมาะสมกับตนเอง ก่อนตัดสินใจลงทุน

ที่มา : www.prachachat.net