News Clippings and IR Press Releases

DOHOME โค้ง 4 ยอดขายพีค รายได้สาขาเพิ่มออนไลน์พุ่ง


ทันหุ้น - DOHOME ยิ้มรับรัฐคลายล็อกดาวน์หนุน SSSG ช่วง 10 วันแรกเดือน ต.ค. สูงกว่า 30%จากเฉลี่ยเดือนก.ย. 20-22% และคาดว่าจะทรงตัวระดับสูงต่อเนื่องในไตรมาส 4/64 หลังเริ่มเข้าไฮซีซัน เดินหน้าคลอด 2 สาขาใหม่ไซส์ L หนุนยอดขายปีหน้าโตต่อเนื่อง อวดพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนช่องทางออนไลน์โตโดด 300-400%

นางสลิลทิพ เรืองสุทธิภาพ รองกรรมการผู้จัดการสายงานบัญชี การเงิน และสนับสนุนองค์กร บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME เปิดเผยว่า ประเมินภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 4/2564 มองว่าจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างโดดเด่น ทั้งเมื่อเทียบช่วงไตรมาสเดียวกันในปีก่อนและเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อนหน้า หลักๆ เป็นผลมาจากการคลายล็อกดาวน์ของภาครัฐ ส่งผลให้ยอดขายเริ่มกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น ประกอบกับเข้าสู่ช่วงไฮซีซันของธุรกิจค้าปลีก ผู้บริโภคเริ่มหันมาบำรุง ซ่อมแซม และตกแต่ง ที่อยู่อาศัยรับช่วงเทศกาลปีใหม่

เดือนต.ค.ยอดพุ่ง

รวมถึงไตรมาสสุดท้ายจะเป็นช่วงประกาศงบปี 2565หนุนให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในงานเกี่ยวเนื่องก่อสร้างเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้เตรียมความพร้อมของผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งในส่วนของหน้าบ้านและหลังบ้าน ให้เพียงพอรองรับความต้องการที่จะเกิดขึ้น โดยหากว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ไม่มีผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วม หรือการกลับมาระบาดระรอกใหม่ของไวรัสโควิด-19 ตลอดจนการปลดล็อกดาวน์หลายพื้นที่ในประเทศอย่างต่อเนื่องก็สนับสนุนให้ยอดขายต่อสาขาเดิม (SSSG) โตทรงตัวเฉลี่ยที่ระดับตัวเลข 2 หลัก หรือเหนือระดับราว 20%ได้อย่างต่อเนื่อง

โดยหลังจากที่ภาครัฐมีการคลายล็อกดาวน์ในเดือนกันยายน ทำให้บริษัทสามารถกลับมาเปิดให้บริการทุกสาขาได้ตามปกติจากช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมที่ปิดให้บริการทั้งทางหน้าร้าน หลังร้าน และออนไลน์ 2สาขา คือ สาขาสมุทรสาคร และสาขาเพชรเกษม และการปิดหน้าร้าน 3 สาขา ได้แก่ สาขาแหลมฉบัง สาขาบ่อวิน และสาขาบางบัวทอง เป็นต้น ซึ่งบริษัทเริ่มเห็นการกลับมาของ SSSG ที่ช่วงเดือนกันยายนขยายตัวเฉลี่ย 20-22% และต่อเนื่องมาถึงเดือนตุลาคม นับตั้งแต่วันที่ 1-10 SSSG ยอดขายเร่งตัวขึ้นโตมากกว่าเดือนก่อนหน้า 10% ทำให้ SSSG เดือนตุลาคมขึ้นมาแต่ที่ระดับกว่า 30% ได้

หากไม่มีผลกระทบอื่นๆ ก็คาดว่า SSSG จะสามารถทรงตัวในระดับสูงได้อย่างต่อเนื่องในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ และคาดว่าจะสูงต่อไปในไตรมาส 1/2565 ตามการเข้าสู่ไฮซีซันธุรกิจอีกด้วย พร้อมกันนี้ ในช่วงเดือนพฤศจิกายน และธันวาคม บริษัทยังคงเดินหน้าแผนลงทุนเปิด 2 สาขาไซส์ L ได้แก่ สาขาอมตะนคร ชลบุรี และสาขาในจังหวัดสุราษฎร์ธานี เบื้องต้นคาดว่าใช้เงินลงทุนที่เฉลี่ยสาขาละ 400-450 ล้านบาท จากเป้าหมายปี 2568 จะมีจำนวนสาขาไซส์ L ให้บริการทั้งสิ้น 36 สาขา จากปลายปีนี้ที่จะมีครบ 16 สาขา หรือวางเป้าหมายในการเปิดสาขาใหม่เฉลี่ยประมาณ 5 สาขาต่อปี

นอกจากนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าในการขยาย House Brand ในหลากหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ให้เพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบันที่มีสินค้า House Brand มากกว่า 20,000 รายการ (SKUs) ครอบคลุมในสินค้าก่อสร้าง ซ่อมแซม และตกแต่ง เป็นต้น ซึ่งมีการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 20-30% โดยคาดว่าสินค้า House Brand จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่กว่า 20% ในปี 2565 จากปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 16-17%ขณะที่ช่องทางออนไลน์ด้วยฐานที่ค่อนข้างต่ำในปีก่อนทำให้ในสิ้นปีนี้อาจเห็นการเติบโตของช่องทางออนไลน์สูงถึงกว่า 300-400%เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีสัดส่วนยอดขายเพิ่มเป็น 1-2% ของยอดขายรวม จากเดิมต่ำ 1%

รักษาระดับมาร์จิ้น

ขณะที่ราคาเหล็กในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้นั้น คาดว่าจะสามารถทรงตัวในระดับสูงต่อได้และไม่ผันผวนเหมือนช่วงที่ผ่านมา ทำให้บริษัทสามารถรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นได้ในระดับที่ดี อย่างไรก็ดี บริษัทคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยรวมทั้งปี 2564 จะยังทรงตัวดีเหนือ 20% และ 9% ตามลำดับ และคาดว่าจะเห็นการเติบโตของรายได้ไม่น้อยกว่า 30% จากปีก่อน

สำหรับแนวโน้มธุรกิจในช่วงไตรมาส 3/2564 นั้น โดยปกติของทุกปีจะเป็นโลว์ซีซันของธุรกิจ ทำให้คาดว่ายอดขายในไตรมาสนี้อาจย่อตัวลงมาอยู่ที่ 5 พันล้านบาท ลดลงประมาณ 300-400 ล้านบาท เทียบกับไตรมาสก่อนที่ทำได้ราว 6.3-6.4 พันล้านบาท และอาจใกล้เคียงกับยอดขายในไตรมาส 1/2564 ที่ทำได้ 6.1 พันล้านบาท และยังคงมีการเติบโตที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน

ที่มา : www.thunhoon.com