News Clippings and IR Press Releases
เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้

#ทันหุ้น – บล.ฟินันเซียไซรัส มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาดว่า SET Index จะแกว่งตัว Sideways แม้บรรยากาศการลงทุนต่างชาติจะยังเป็นบวกต่อเนื่อง แต่ปัจจัยในประเทศเรื่องผลกระทบจากน้ำท่วมภาคใต้ยังถ่วง Sentiment อ่อนๆ โดยต้องจับตาว่าดัชนีจะยืนแนวรับโซน 1,250-1,260 จุด ไม่มี Low ใหม่ได้หรือไม่ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมาออกมาดีกว่าคาดทั้งยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือน ก.ย. และผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ อย่างไรก็ตามตลาดยังคงคาดหวังโอกาสปรับลดดอกเบี้ยของ Fed ในเดือน ธ.ค. ที่ 85%
ด้านปัจจัยในประเทศตลาดเริ่มประเมินผลกระทบจากเหตุน้ำท่วมภาคใต้จะกระทบเศรษฐกิจราว 2.5-3 หมื่นลบ. คิดเป็น 0.16% ของ GDP อาจถ่วงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจใน 4Q25 อยู่บ้าง แต่เรามองเป็นปัจจัยระยะสั้นและเฉพาะพื้นที่ ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจคาดว่ายังทยอยหนุนความเชื่อมั่นและโมเมนตัมของ GDP ได้ต่อใน 1Q26 ด้านนโยบายการเงินเรามองว่า Sentiment จากฝั่ง Fed อาจทำให้ตลาดคาดหวังมากขึ้นว่ากนง.อาจลดดอกเบี้ยในกาประชุมเดือน ธ.ค. เช่นกัน อย่างไรก็ตามเรายังมองว่ามีโอกาสที่กนง.จะเลือกคงดอกเบี้ยเพื่อรอดูผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลก่อนพิจารณาปรับลดอีกครั้งในการประชุมเดือน ก.พ. 26 จาก Policy Space ที่มีจำกัด
กลยุทธ์ : เลือกลงทุนในหุ้นที่โมเมนตัมกำไร 4Q25-1H26 ที่ยังแข็งแกร่ง
หุ้นเด่นเดือน พ.ย. : CPAXT, GFPT, ICHI, KTB, MTC
FSSIA Portfolio : BA, BDMS, BTG, CENTEL, CPALL, ICHI, KTB, MTC, SYNEX
หุ้นเด่นวันนี้ : MAGURO
• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 31.60 บาท
• SSSG 4QTD ยังติดลบ -1% y-y ดีขึ้นจาก -2.7% y-y ใน 3Q25 ผู้บริหารคาดจะพลิกเป็นบวกได้ใน ธ.ค. จากผลบวกของการทำโปรโมชั่น และได้ผลบวกจากการเปิดสาขาใหม่รวม 15 สาขาในปีนี้ โดย 4Q25 เปิดครบ 4 สาขาตามแผนแล้ว หนุนให้รายได้ 4Q25 คาดโตไม่ต่ำกว่า 40% y-y ขณะที่ Gross Margin คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น
• เราคาดกำไร 4Q25 จะทำ New High ต่อเนื่อง บริษัทตั้งเป้าเปิดสาขาใหม่ไม่น้อยกว่า 15 สาขาในปี 2026 และตั้งเป้ารายได้โตไม่ต่ำกว่า 30% ขณะที่เราใช้สมมติฐานรายได้ปี 2026 +17% y-y ด้วยสาขาใหม่ 12 สาขา ซึ่ง conservative กว่าเป้าบริษัท เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025-26 โต +41% y-y และ +27% y-y ตามลำดับ
• แนวรับ 22.10 บาท แนวต้าน 23.10-23.30//24 บาท
ด้าน บล.ดาโอ คาดตลาดหุ้นไทยยังคงเผชิญกับปัจจัยกดดันภายในประเทศ แม้ว่าจะมีปัจจัยบวกจากความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เข้ามาช่วยพยุงตลาดไว้ ดัชนี SET เมื่อวาน (26 พ.ย.) ปิดลดลง 0.60% ที่ 1261 จุด โดยมีมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 34,979 ล้านบาท
ปัจจัยในประเทศ
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐบาลกำลังออกแบบแพ็กเกจฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจหลังน้ำลดในภาคใต้ โดยจะใช้มาตรการรูปแบบเดียวกับโครงการ “คนละครึ่งพลัส” เฟสพิเศษ เพื่อฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบรุนแรง. คาดว่าจะมีการเสนอมาตรการนี้เข้าสู่การพิจารณาของ ครม. ในสัปดาห์หน้า. นอกจากนี้ยังมีการพิจารณามาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำและพักชำระหนี้
พันธบัตรไทย: ความต้องการซื้อพันธบัตรอายุ 30 ปีของไทยอ่อนแอที่สุดในรอบอย่างน้อยหกปี นักลงทุนมีความกังวลเรื่องการลดอันดับเครดิตของประเทศไทย (Moody’s/Fitch มีมุมมองเชิงลบ) และความไม่แน่นอนของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)
น้ำท่วมภาคใต้: รัฐบาลเตรียมเสนอโครงการ “คนละครึ่งพลัส” เฟสพิเศษ เพื่อฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจภาคใต้ ในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากน้ำท่วม คาดว่าจะเสนอ ครม. ในสัปดาห์หน้า
Fund Flow/เงินบาท: นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยรวม (SET+MAI) 494.53 ล้านบาท และซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้ 3,071 ล้านบาท เมื่อวันที่ 26 พ.ย.
ปัจจัยต่างประเทศ
ความคาดหวัง Fed ลดดอกเบี้ย ตลาดหุ้นสหรัฐฯ Futures ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ในเดือน ธ.ค. โดยตลาดราคาความน่าจะเป็นอยู่ที่ 80%. การคาดการณ์นี้ได้รับแรงสนับสนุนจากข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ บางส่วนที่ยังคงน่ากังวล
ความขัดแย้งจีน-ญี่ปุ่น: ความตึงเครียดสูงต่อเนื่องจากประเด็นคำพูดนายกฯ ญี่ปุ่นต่อจีนและไต้หวัน ด้านไต้หวันได้ประกาศตอบโต้ด้วยแผนงบประมาณพิเศษด้านกลาโหม 4 หมื่นล้านเดอลลาร์ระหว่างปี 2026-2033 เพื่อป้องกันจีน …. ไต้หวันก้าวเข้ามาส่วนร่วมในความขัดแย้งเต็มตัว ความขัดแย้งนี้เป็นลบต่อตลาดและค่าเงินเอเชีย โดยเฉพาะค่าเงินเยน
แผนสันติภาพยูเครน ทูตพิเศษของสหรัฐฯ Steve Witkoff มีกำหนดเยือนมอสโกสัปดาห์หน้า เพื่อเจรจาผลักดันข้อตกลงสันติภาพยูเครน. ปธน. เซเลนสกีส่งสัญญาณพร้อมต่อยอดแผนสันติภาพฉบับปรับปรุงสู่ข้อตกลงเชิงลึกได้ หากได้พบกับ ปธน. ทรัมป์เพื่อสรุปประเด็นด้านดินแดน. ตลาดมองว่ามีความหวังที่จะยุติสงครามได้ ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อเศรษฐกิจโลก
Strategy
ตลาดยังไม่เสถียรดี นักลงทุนส่วนใหญ่ซื้อขายในกรอบเวลาสั้นๆ และเวียนหุ้นเล่น เป็นสัญญาณว่า ตลาดหรืแดัชนีฯ จะไปไหนไกลๆได้ยาก ยกเว้นเสียแต่ว่าปัจจัยถ่วงจะคลี่คลาย สัปดาห์นี้ เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ว่าแค่พักตัวหรือลงต่อ
กลยุทธ์: ดัชนีฯเริ่มกลับตัว แต่แรงซื้อยังแผ่ว แนะเลือกหุ้นที่ราคาลงมามาก แต่กำไรดีๆ เป็นลำดับแรก
หุ้นในพอร์ตแนะนำ: เรานำ MTC ออก และนำ KTB, TTB เข้ามาในพอร์ต หุ้นในพอร์ตประกอบด้วย KTB(10%), TTB(10%), ADVANC(10%), CPN(10%), DELTA(10%), GULF(10%), CPALL(10%), SCB(10%)
Technical : TOA, DUSIT
ขณะที่ บล.คิงส์ฟอร์ด ประเมินแนวรับดัชนี SET วันนี้ที่ 1,250 – 1,260 แนวต้าน 1,270 – 1,280 คาดดัชนี SET มีโอกาสฟื้นตัวจากคาดการณ์เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยใน ธ.ค. แต่ Upside ของดัชนียังถูกกดดันจากผลกระทบภัยน้ำท่วม แนะนำซื้อเก็งกำไร HMPRO, DOHOME, GLOBAL, TOA จากงบซ่อมแซมช่วงภัยน้ำท่วม / กลุ่มที่คาดจะได้ประโยชน์จากการปรับเกณฑ์การซื้อหุ้นคืน KBANK, TTB, KTB
TOA* (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 17.70 บาท) บริษัทรายงานกำไรสุทธิ 3Q68 ที่ 688 ล้านบาท +6%QoQ, +266%YoY หนุนจากยอดขายที่กลับมาเติบโต YoY จากตลาดต่างประเทศ ขณะที่ GPM อยู่ในระดับ 38% หนุนจากต้นทุน TiO2 และ Oil link ที่ปรับลดลง แนวโน้ม 4Q68 คาดว่าจะยังได้รับประโยชน์จากต้นทุนที่ลดลงอยู่ ส่วนรายได้คาดเติบโตได้ QoQ, YoY จากตลาดเมียนมาและเวียดนาม ส่วนประเทศไทยคาดมี demand ซ่อมแซมบ้านหลังน้ำท่วม สำหรับแนวโน้มปี 69 บริษัทตั้งเป้ารายได้ในไทย +2%ToT และต่างประเทศ +10%YoY ทั้งนี้ตลาดคาดกำไรปี 68-69 ที่ 2.7 พันล้านบาท +39%YoY และ 2.9 พันล้านบาท +9%YoY
CPN* (ซื้อ / ราคาเป้าหมายBloomberg Consensus 67.98 บาท) CPN* (ซื้อ / ราคาเป้าหมายBloomberg Consensus 67.98 บาท) กำไรสุทธิ 3Q68 อยู่ที่ 5,424 ลบ. +31%YoY +26%QoQ มีกำไรพิเศษจากการโอนพื้นที่(CPNREIT) ขณะที่ธุรกิจให้เช่าศูนย์การค้ายังประคองตัวดี และธุรกิจรร./อสังหาฟื้นตัว QoQ ส่วนการดำเนินงานปกติ 4Q68 คาดว่ายังมีปัจจัยหนุนจาก 1.โมเมนตัมธุรกิจให้เช่าฯ ตามกลยุทธ Retail-Led Mixed-Use Development/เปิด Central กระบี่ 2.ปัจจัยหนุนจากม.ภาครัฐฯ เช่น เที่ยวดีมีคืน/ปัจจัยตามฤดูกาลใน Q4 และ 3.ยอดโอนคอนโดกลับมา/เปิดโครงการแนวราบใหม่ๆ ปัจจุบัน ตลาดคาดว่าในปี 68 และ 69 กำไรสุทธิของ CPN* จะอยู่ที่ 17,458 ลบ.(+4%YoY) และ 18,735 ลบ.(+7%YoY)
ที่มา : www.thunhoon.com