News Clippings and IR Press Releases

เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้


#ทันหุ้น – บล.ฟินันเซียไซรัส มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาดว่า SET Index มีแนวโน้มแกว่งตัว Sideways Up จากบรรยากาศการลงทุนที่ยังค่อนเป็นบวกจากความคาดหวัง Fed เดินหน้าปรับลดดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯทั้ง PPI และยอดค้าปลีกเดือน ก.ย. ออกมาชะลอตัวและต่ำกว่าคาดเล็กน้อย โดยล่าสุดดัชนีกลับมายืนเหนือระดับ 1,260-1,265 จุด ช่วยลบล้างภาพเชิงลบในสัปดาห์ก่อน โดยหากไต่ระดับขึ้นได้ต่อเนื่องและทะลุระดับ 1,280+- จุด จะยืนยันภาพโมเมนตัมเชิงบวกและลุ้นกลับมาเป็นขาขึ้นทดสอบ High เดิม

ด้านปัจจัยในประเทศตัวเลขส่งออกไทยเดือน ต.ค. ออกมาต่ำกว่าคาดเล็กน้อย ขณะที่ 2 เดือนที่เหลือคาดว่าจะทรงถึงบวกบางๆ y-y ซึ่งแรงหนุนจากภาคส่งออกที่ลดลงคาดว่าจะทำให้โฟกัสตลาดมาอยู่ในเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้นว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะหนุน GDP ให้กลับมาทยอยฟื้นตัวได้เร็วมากน้อยเพียงใด ส่วนประเด็นน้ำท่วมภาคใต้ต้องติดตามสถานการณ์ว่าจะคลี่คลายได้เร็วมากน้อยเพียงใด สภาพัฒน์ประเมินผลกระทบราว 1.6-2.9 หมื่นลบ. คิดเป็น 0.1-0.16% ต่อ GDP ด้านนโยบายการเงินเรามองว่า Sentiment จากฝั่ง Fed อาจทำให้ตลาดคาดหวังมากขึ้นว่ากนง.อาจลดดอกเบี้ยในกาประชุมเดือน ธ.ค. เช่นกัน อย่างไรก็ตามเรายังมองว่ามีโอกาสที่จะเลือกคงดอกเบี้ยเพื่อรอดูผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลก่อนพิจารณาปรับลดอีกครั้งในการประชุมเดือน ก.พ. 26 จาก Policy Space ที่มีจำกัด

กลยุทธ์ : เลือกลงทุนในหุ้นที่โมเมนตัมกำไร 4Q25-1H26 ที่ยังแข็งแกร่ง

หุ้นเด่นเดือน พ.ย. : CPAXT, GFPT, ICHI, KTB, MTC

FSSIA Portfolio : BA, BDMS, BTG, CENTEL, CPALL, ICHI, KTB, MTC, SYNEX

หุ้นเด่นวันนี้ : CBG

• ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 50 บาท

• ผู้บริหารให้ภาพว่ากัมพูชาผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และตั้งเป้าส่วนแบ่งตลาดปี 2026 เพิ่มเป็น 32% พร้อมเตรียมออกสินค้าใหม่ 12 บาท โดยตั้งเป้ารายได้ปี 2026 โต 20% y-y มาจากในประเทศ +25% ทั้งคาราบาวแดงและสุราข้าวหอม ส่วนต่างประเทศจะโตดีที่พม่าและเวียดนาม

• โรงงานในกัมพูชาล่าสุดได้ลูกค้า OEM ที่จะทำตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง โดยคาดเริ่มผลิตนเดือน ธ.ค. ตลาดอัฟกานิสถานเตรียมปรับโมเดลเป็นการขายหัวเชื้อให้พันธมิตร OEM เพื่อลดต้นทุนและแข่งขันในตลาดได้ และมีแผนเตรียมกลับเข้าตลาดจีนอีกครั้ง หากทำได้ตามแผน ประมาณการกำไรสุทธิปี 2026 +2% y-y จะมี Upside 5-18%

• แนวรับ 43.50//42.50 บาท แนวต้าน 45.50-46//48 บาท

ด้าน บล.ดาโอ คาด SET มีโอกาสเดินหน้าต่อ ในลักษณะของการ rebound หลังปรับตัวลงมากมาก โดยปัจจัยสนับสนุนมาจากการที่ดัชนีฯ ปรับตัวขึ้นในวันก่อนหน้า (+1.28%) และมีแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติ ตัวแปรที่ชี้นำตลาดจะเป็น ทิศทางหุ้น Tech ทั่วโลก และประเด็นการเมืองระหว่างประเทศ เช่น แผนสันติภาพของรัสเซีย-ยูเครน หากไม่มีข่าวร้ายมากดดัน ดัชนีฯ มีโอกาสกลับไปที่ 1280 จุด อีกครั้ง

ปัจจัยในประเทศ

การค้าประเทศไทย: การส่งออกไทยในเดือน ต.ค. 68 ขยายตัว 5.7% ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 19% เนื่องจากก่อนหน้านี้ไทยเร่งส่งออกไปปริมาณมาก ส่วนการนำเข้าที่พุ่งสูงขึ้น 16.3% ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้า 3,436.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สนค. คาดการณ์การส่งออกปี 68 จะขยายตัวได้ในช่วง 10.7- 11.4% ปัจัยกดดันหลัด คือ ค่าเงินบาทที่อาจแข็งค่าขึ้น ในช่วงปลายปี ปริมาณสินค้าเกษตรลดลงจากน้ำท่วม และการแข่งขันในตลาดโลกสูงขึ้น

สถานการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่: ไทยได้รับผลกระทบจากอุทกภัยอย่างเนื่องจากฝนตกหนักต่อเนื่อง สถานการณ์ล่าสุดน้ำท่วมน้ำท่วมฉับพลันในหลายพื้นที่ของจังหวัดภาคใต้ รัฐบาลยกระดับการรับมือแล้ว ประชาชนได้รับผลกระทบกว่า 8 แสนครัวเรือน สถานการณ์น้ำท่วมดังกล่าวส่งผลกระทบผลผลิตทางการเกษตรสำคัญ เช่น ยางและน้ำมันปาล์ม ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกของไทย

Fund Flow/เงินบาท: นักลงทุนต่างชาติมีสถานะ ซื้อสุทธิ 1,552 ล้านบาท ในตลาดหุ้นไทย (SET+MAI) ในขณะที่ตลาดตราสารหนี้ นักลงทุนต่างชาติมีสถานะ ขายสุทธิ 1,804 ล้านบาท (NET OUTFLOW) ค่าเงินบาทปิดที่ 32.30 บาท/ดอลลาร์ และแข็งค่าเล็กน้อย โดยเงินบาทได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนหน้า

ปัจจัยต่างประเทศ

แผนสันติภาพยูเครน-รัสเซีย: แผนสันติภาพเดิม 28 ข้อ ถูกปรับลดเหลือ 19 ข้อ หลังการจัดทำร่างใหม่ร่วมกับเจ้าหน้าที่ยูเครนในการหารือที่นครเจนีวา โดยข้อกำหนดที่ถูกนำออกจะเกี่ยวข้องกับการยอมสละพื้นที่บางส่วนและไม่เข้าร่วมนาโตของยูเครน ด้านผู้นำยูเครนดูเหมือนจะยอมรับข้อตกลงดังกล่าว แต่ฝั่งรัสเซียเหมือนจะไม่เห็นด้วยกับแผนฉบับปรับปรุง ความขัดแย้งดังกล่าวเป็นลบต่อราคาน้ำมัน ราคาน้ำมันดิบ Brent ล่าสุด $61 ต่อบาร์เรล……เรามองว่า เป็นเรื่องใหญ่ของสัปดาห์นี้ รองจากข่าวความกังวลต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจาก การยุติสงครามตามแผนนี้ รัสเซียได้เปรียบ(จบง่ายกว่า) และการยุติสงคราม ดีต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะยุโรป และทิศทางเงินเฟ้อ(ลดลง)

ตลาดมอง Kevin Hassett เป็นตัวเต็งประธาน Fed คนใหม่…. รายงานจากทำเนียบขาวระบุว่า Kevin Hassett (ผอ. National Economic Council) โผล่ขึ้นมาเป็น “ตัวเก็งอันดับต้น ๆ” สำหรับตำแหน่งประธาน Fed คนต่อไป ภาพนี้หนุนราคา Treasuries และกดดันดอลลาร์ เพราะโอกาสที่ Fed จะใช้นโยบายแบบผ่อนคลาย(ลดดอกเบี้ย) ถ้าท่านนี้เป็นประธาน Fed จะมีมากขึ้น

ตัวเลขเศรษฐกิจและ Event

US Ambassador to Thailand Robert Godec holds a meeting with Finance Minister Ekniti Nitithanprapas at 1pm.

US-Initial Jobless Claims

Technical : BCH, KAMART

ขณะที่ บล.คิงส์ฟอร์ด ประเมินแนวรับดัชนี SET วันนี้ที่ 1,260 แนวต้าน 1,280 คาดดัชนี SET มีโอกาสฟื้นตัวจากคาดการณ์เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยใน ธ.ค. แต่ Upside ของดัชนียังถูกกดดันจากผลกระทบภัยน้ำท่วม แนะนำซื้อเก็งกำไร HMPRO,DOHOME,GLOBALจากงบซ่อมแซมช่วงภัยน้ำท่วม / SAWAD, KTC, TISCO, AP, SPALI, SIRI ได้ประโยชน์หาก กนง.ลดดอกเบี้ย / ซื้อเก็งกำไร DELTA, HANA, KCE จากคาดการณ์เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ย

BAM* (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 7.95 บาท) แนวโน้มผลประกอบการ 4Q68 เติบโต QoQ, YoY มีปัจจัยหนุนจากยอดจัดเก็บหนี้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล บวกกับการขาย NPA ที่ดีขึ้นตามการออกโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขาย เน้นปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้าเองมากขึ้น ส่วนค่าใช้จ่ายในการสำรองหนี้จะลดลงสอดคล้องกับการชำระหนี้ของลูกค้า สำหรับปี 68 ตลาดคาดกำไร 2.2 พันล้านบาท โตราว +40%YoY มีความน่าสนใจจากอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่ดีราว 7% และมี upside จากการซื้อหนี้ของ JVAMC และ Ari- AMC ที่ร่วมทุนกับออมสิน ตามมาตรการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนของรัฐบาลในโครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้”

KCG (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 11.24 บาท) กำไรสุทธิ 3Q68 อยู่ที่ 89 ลบ. (+16%YoY, -10%QoQ ) ปรับตัวลดลง QoQ จากการหยุดสายการผลิตเนยชั่วคราว 1 เดือน เพื่อปรับปรุงกำลังผลิต ส่วน YoY สามารถเติบโตได้ดีตามรายได้สินค้า Dairy และ Food and Bakery Ingredient รวมถึง ได้ประโยชน์จาก KCG Logistics Park และ Solar Rooftop ทั้งนี้ สำหรับแนวโน้มการดำเนินงานปกติใน 4Q68 คาดว่ายังดีต่อเนื่อง ทั้ง YoY QoQ หนุนจาก High Season ปัจจุบัน ตลาดคาดกำไรสุทธิ ปี68 และ ปี69 ของ KCG* ที่ 452 ลบ.(+11%YoY) และ 509 ลบ.(+13%YoY)

ที่มา : www.thunhoon.com